วันศุกร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

กินแบบนักโภชนาการ





























กินแบบนักโภชนาการ 1
กินอะไรก็ได้ที่ตนเองชอบ และเห็นว่าอร่อยถูกปาก กินตามที่แม่ทำให้กินกินตามที่วางขายที่หาซื้อได้ ไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องการกิน กินอิ่มแล้วก็จบเป็นสุข แล้วก็ไปปฏิบัติภารกิจอื่นต่อ ถึงเวลาอาหารมื้อต่อไปก็กลับมากินอีก จนครบอย่างน้อย 3 มื้อ ในแต่ละวัน เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งได้มาเริ่มเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ และประกอบอาชีพเป็นนักโภชนาการ ทำให้เริ่มสนใจใส่ใจ และยึดมั่นที่จะต้องกินอาหารให้ถูกต้องตามสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาก และจะต้องปฏิบัติตนและกินให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นที่ตัวเองเที่ยวไปบอกไปสอนให้เขาปฏิบัติ คิดอยู่เสมอมาว่า หากต้องการให้คนอื่นกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เราจะต้องปฏิบัติให้ได้ก่อนจุดเริ่มต้นของการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ของนักโภชนาการทุกคนมักจะยึดการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารทุกมื้อที่กินจะคอยคำนึงทุกครั้งว่า กินครบ 5 หมู่ หรือไม่ ถ้าไม่ครบก็ต้องขวนขวายกินให้ครบในมื้อถัดไป สิ่งที่จะต้องคำนึงในลำดับต่อมาคือ ปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อ จะต้องคอยควบคุมตนเองให้กินอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ พอดี อิ่มแล้วจะหยุดกินจะไม่เพลินกับรสชาติของอาหาร และกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ทุกวัน ไม่เคยงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งนอกจากนี้ ยังไม่ยึดติดอยู่ในอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งที่จะต้องชอบเป็นพิเศษแล้วกินประจำซ้ำซาก แต่พยายามกินอาหารให้หลากหลายชนิด ยกเว้นอาหารหลักเช่นข้าว และที่สำคัญ คือ จะหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการมีสุขภาพที่ไม่ดี อาทิ อาหารรสหวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ปนเปื้อนจากเชื้อโรค และสารพิษ รวมทั้งอาหารที่บั่นทอนสุขภาพอื่น ๆ และอาหารที่มีราคาแพง อานิสงส์แห่งการกินอาหารตามแบบฉบับของนักโภชนาการที่กล่าวมานี้ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ส่งผลให้ตนเองมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง โดยวัดจากมีการเจ็บป่วยน้อยมาก และหวังต่อไปถึงอนาคตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุที่ดำรงชีวิตอย่างสง่างาม ไม่เป็นภาระของลูกหลานและ
มีชีวิตที่ยืนยาวพอสมควร
กินแบบนักโภชนาการ 2

ความได้เปรียบของนักโภชนาการในเรื่องการกินอาหารอยู่ตรงที่ มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักเห็นความสำคัญของอาหารที่มีต่อชีวิต และร่างกาย จึงได้นำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับวิถีการกินอาหารจนกลับกลายเป็นนิสัยนักโภชนาการส่วนมาก มักพิถีพิถัน พินิจพิจารณาอาหารแต่ละครั้ง แต่ละคำที่กินว่าจะไปประเทืองประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเขาหรือไม่ อย่างไร เขารู้ว่าจะต้องกิน ข้าวเป็นอาหารหลัก เพราะร่างกายต้องการนำไปสร้างพลังงานให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ นักโภชนาการจะเป็นกลุ่มคนที่รักการกินพืชผัก และผลไม้ เพราะรู้ดีว่าผักและผลไม้ไม่เพียงแต่จะให้วิตามินแร่ธาตุไปช่วยทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติเท่านั้น แต่นักโภชนาการกินผักผลไม้เป็นประจำ เพราะทราบดีว่า ในผักผลไม้ยังประกอบด้วยสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่สารอหาร แต่มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เกิดโรคและความเจ็บป่วยได้ด้วย อย่างเช่น ใยอาหาร ในที่สุดชีวิตของนักโภชนาการจะขาดผัก และผลไม้ไม่ได้นักโภชนาการ จะกินอาหารที่ให้โปรตีนหลากหลายชนิด แต่จะเน้นการกินปลาเป็นหลักรองลงมาเป็นเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ติดมัน ตามมาด้วยไข่ นักโภชนาการทั่วไปไม่กลัวโคเลสเตอรอลในไข่จนเกินเหตุ แต่จะกินไข่ตามสภาวะร่างกายของแต่ละคนโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 ? 4 ฟอง ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ คือแหล่งโปรตีนจากพืชที่นักโภชนาการมักจะกินสลับไปกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ แม่ว่ารสชาติอร่อยไม่เท่าเนื้อสัตว์ แต่กินเพราะรู้ว่ามีคุณค่าเท่าเทียมเนื้อสัตว์และราคาถูกกว่าผู้เขียนในฐานะเป็นนักโภชนาการ ต้องขอยอมรับสารภาพว่า ทุกครั้งที่ดื่มนม ซึ่งดื่มวันละ 1 ? 2 แก้ว ทุกวัน ไม่ได้ดื่มเพราะความหิว ความพร่อยในรสชาติของนม แต่ดื่มนมเพราะตระหนักดีว่า นมคือแหล่งของแคลเซียมที่ดีที่ร่างกายสามารถร่อยและดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ต่อกระดูกอาหารประเภทที่มีไขมันสูง มีรสเค็มจัด หวานจัด นักโภชนาการจะหลีกเลียงกินให้น้อยที่สุด แม้ว่าจะชอบกินก็ตาม เพราะรู้ว่ากินมากแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ



ไม่มีความคิดเห็น: