วันศุกร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

กิจกรรม 5ส



ความหมายของกิจกรรม 5S หรือ 5ส

1)เซริ (SEIRI) หมายถึง สะสาง หรือการแยกแยะให้ชัดเจน ได้แก่ การสำรวจตรวจสอบสิ่งของที่อยู่โดยรอบสถานที่ทำงาน แล้วทำการแยกแยะออกเป็นของที่จำเป็น
2)เซตง (SEITON) หมายถึง สะดวก หรือการจัดให้เป็นระเบียบ
3)เซโซ (SEISO) หมายถึง สะอาดหรือการทำความสะอาด ได้แก่ การทำความสะอาดสถานที่ทำงาน
4)เซเคทซึ (SEIKETTSU) หมายถึง สุขลักษณะ การดูแลรักษาสถานที่ทำงานให้มีความสะอาด เพื่อสุขภาพอนามัยและมีความปลอดภัยอยู่เสมอ
5)ชิทสึเกะ (SHISUKE) หมายถึง สร้างนิสัย และการรักษาระเบียบวินัย
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในด้านการผลิตและการบริการที่มีพื้นฐานจากการจัดกิจกรรม 5ส และพัฒนาไปสู่ระบบการบริหารงานคุณภาพให้มีประสิทธิภาพ
เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะให้ความสำคัญต่อการจัดกิจกรรม 5ส ก่อนการดำเนินกิจกรรมในระบบคุณภาพอื่นๆ ต่อไป ดังภาพ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำกิจกรรม 5 ส
กิจกรรม 5 ส เป็นกิจกรรมที่ทุกคนต้องมีส่วนรวมในการทำงาน จึงก่อให้เกิดประโยชน์
1)ประโยชน์ที่เกิดกับพนักงาน
(1)บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น

(2)ทำให้สถานที่ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย

(3)พนักงานมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน

(4)สร้างจิตสำนึกให้กับพนักงานเพื่อที่จะนำไปสู่การปรับปรุง
2)ประโยชน์ที่เกิดกับเครื่องจักรและอุปกรณ
(1)ช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดจากการหยุดอย่างกะทันหันของเครื่องจักร
(2)เครื่องจักรและอุปกรณ์มีความเที่ยงตรงแม่นยำ
(3)ช่วยทำให้อายุการใช้งานของเครื่องมือยาวนานขึ้น
3)ประโยชน์ที่จะเกิดกับกระบวนการผลิต
(1)ช่วยลดเวลาในการขนย้ายวัสดุ
(2)พื้นที่บริเวณโรงงานมีความสะอาดและเป็นระเบียบ
(3)มีการเก็บรักษาวัสดุคงคลังอย่างเป็นระเบียบสามารถที่จะตรวจสอบและนำมาใช้งานได้ง่าย

การใช้กิจกรรม 5 ส ร่วมกับกิจกรรม
1)การใช้กิจกรรม 5 ส กับกิจกรรมกลุ่มคุณภาพ

กิจกรรม 5 ส สามารถใช้ร่วมกับกิจกรรมกลุ่มคุณภาพ ได้ 2 ลักษณะ คือการใช้กิจกรรม 5 ส เป็นพื้นฐานก่อนที่จะนำกิจกรรมกลุ่มคุณภาพไปใช้ และการใช้กิจกรรม 5 ส พร้อมๆ กับการจัดทำกิจกรรมกลุ่มคุณภาพ
2)การใช้กิจกรรม 5 ส กับกิจกรรมการบำรุงรักษา
ส - สะอาด ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนแรกของกิจกรรมการบำรุงรักษา ซึ่งการทำความสะอาดเครื่องจักรเท่ากับเป็นการตรวจสอบ พนักงานที่ทำความสะอาดเครื่องจักรของตนเองอยู่ตลอดจะเกิดความรักในเครื่องจักรและอุปกรณ์ ทำให้สามารถส่งเสริมให้มีการบำรุงรักษาด้วยตนเองได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
3)การใช้กิจกรรม 5 ส กับกิจกรรมความปลอดภัย
สถานที่ทำงานที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรม 5 ส จะช่วยทำให้สภาพแวดล้อมไม่เป็นพิษ ปราศจากสิ่งสกปรก ทำให้พนักงานมีสุขภาพ อนามัย และความปลอดภัยที่ดี อัตราการเกิดอุบัติเหตุก็จะน้อยลง

ความสำคัญของ กิจกรรม5ส.
ถ้าทำกิจกรรม 5 ส อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง สามารถปรับปรุงแก้ไป P Q C D S M
ชึ่งเป็นพื้นฐานของการบริหารงานดีขึ้น ดังนี้
1. P Productivity ( เพิ่มผลผลิต )
1.1 ไม่เสียเวลาในการค้นหาสิ่งของจำเป็นต้องใช้
1.2 ไม่เสียเวลาในการนำของมาใช้ผิดขนาดหรือเกิดผิดพลาด
1.3 ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไกล
2. Q Quality ( คุณภาพ )
2.1 จะมีสิ่งสกปรกและฝุ่นละออง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดงานเสียน้อย ทำให้งานมีคุณภาพดี
2.2 สถานที่เก็บงานเรียบร้อย มีป้ายบอกอย่างชัดเจน งานดี งานเสียแยกอย่างชัดเจนไม่ปนกันหรือไม่ส่งงานเสียไปสู่ขั้นตอนต่อไป
2.3 เครื่องจักรสะอาด สามารถป้องกันงานเสียได้
3. C Cost ( ต้นทุน )
3.1 การเก็บสต๊อควัตถุดิบทราบจำนวนชัดเจน ไม่มีการซื้อของที่ไม่จำเป็นหรือมีอยู่แล้ว
3.2 สามารถประหยัดได้ จากจุดเสียหายเล็กๆน้อย เช่น น้ำมัน น้ำ ไฟฟ้า และวัสดุอื่นๆ
3.3 ไม่สูญเสีย ชั้นว่างของ ตู้เอกสาร ล็อคเกอร์ กะบะ พาเลท โดยเปล่าประโยชน์
3.4 ทำให้เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องมือวัด สามารถใช้งานได้นานๆ
4. D Delivery ( วันส่งออก )
4.1 5 ส. ช่วยเพิ่มผลผลิต/คุณภาพดีขึ้น ผลิตภัณฑ์สามารถผลิตตามกำหนดได้ การส่งออกไม่มีปัญหา
5. S Safety ( ความปลอดภัย )
5.1 การจัดว่างเครื่องมือดับเพลิง ทางหนีไฟ อย่างชัดเจนเมื่อเกิดเพลิงไหม้จึงปลอดภัย
5.2 ทางหนีไฟ การวางของเกะกะทำให้เกิดการชน สิ่งของตกหล่น อันตรายแบบนี้จะไม่มีให้เห็น
5.3 การสวมอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
5.4 จะไม่มีอัตรายจากเพลิงไหม้โดยการรั่วไหลของน้ำมัน หรือลื่นหกล้มจากพื้นสกปรก
6. M Moral ( ขัวญและกำลังใจ )
6.1 สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานดีขึ้น พนักงานทำงานด้วยความสบายใจ ทำให้เพิ่มความตั้งใจ
ในการทำงานมากขึ้น มีความสะดวกในการทำงาน เปอร์เซ็นการลาออกของพนักงานน้อยลง


พืชสมุนไพร


สมุนไพร ไทยนี้ มีค่ามาก
พระเจ้าอยู่หัว ทรงฝาก ให้รักษา
แต่ปู่ย่า ตายาย ใช้กันมา
ควรลูกหลาน รู้ค่า ใช้สืบไป
เป็นเอกลักษณ์ ของชีวิต ควรศึกษา
วิจัยยา ประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสม
รู้ประโยชน์ รู้คุณโทษ สมุนไพร
เพื่อคนไทย อยู่รอด ตลอดกาล...

ความหมายของสมุนไพร

คำว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น
สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า "ยา" ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า "เภสัชวัตถุ"พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาสำหรับขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่า "เครื่องเทศ" ในพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3 ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาที่ได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือในการบำบัดโรคของสัตว์ ซึ่งมีปรากฎอยู่ในตำรายาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาแผนโบราณ หรือได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาแผนโบราณ
2. ยาสมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพืชสัตว์แร่ธาตุที่ยังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรนอกจากจะใช้เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร ใช้เตรียมเป็นเครื่องดื่ม ใช้เป็นอาหารเสริม เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ใช้แต่งกลิ่น แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็นยาฆ่าแมลงอีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มีสมุนไพรจำนวนไม่น้อยที่มีพิษ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึงตายได้ ดังนั้นการใช้สมุนไพรจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการตื่นตัวในการนำสมุนไพรมาใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนิน โครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดยเน้นการนำสมุนไพรมาใช้บำบัดรักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมให้ปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ภายในหมู่บ้านเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งขึ้น อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสำเร็จรูปจากต่างประเทศได้ปีละเป็นจำนวนมาก
สมุนไพร หมายถึง “พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา” ส่วน ยาสมุนไพร หมายถึง “ยาที่ได้จากส่วนของพืช สัตว์ และแร่ ซึ่งยังมิได้ผสมปรุง หรือ แปรสภาพ” ส่วนการนำมาใช้ อาจดัดแปลงรูปลักษณะของสมุนไพรให้ใช้ได้สะดวกขึ้น เช่น นำมาหั่นให้มีขนาดเล็กลง หรือ นำมาบดเป็นผงเป็นต้นมีแต่พืชเพียงอย่างเดียวหามิได้เพราะยังมีสัตว์และแร่ธาตุอื่นๆอีกสมุนไพร ที่เป็นสัตว์ได้แก่ เขา หนัง กระดูก ดี หรือเป็นสัตว์ทั้งตัวก็มี เช่น ตุ๊กแกไส้เดือน ม้าน้ำ ฯลฯ "พืชสมุนไพร" นั้นตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณค่าทางยามากมายซึ่ง เชื่อกันอีกด้วยว่า ต้นพืชต่างๆ ก็เป็นพืชที่มีสารที่เป็นตัวยาด้วยกันทั้งสิ้นเพียงแต่ว่าพืชชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่านั้น
"พืชสมุนไพร" หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพรนี้ แบ่งออกเป็น 5 ประการ
1. รูป ได้แก่ ใบไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ แก่นไม้ กระพี้ไม้ รากไม้ เมล็ด
2. สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีเขียวใบไม้ สีเหลือง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีน้ำตาล สีดำ
3. กลิ่น ให้รู้ว่ามรกลิ่น หอม เหม็น หรือกลิ่นอย่างไร
4. รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสจืด รสฝาด รสขม รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว รสเย็น
5. ชื่อ ต้องรู้ว่ามีชื่ออะไรในพืชสมุนไพรนั้นๆ ให้รู้ว่า ขิงเป็นอย่างไร ข่า เป็นอย่างไร ใบขี้เหล็กเป็นอย่างไร
ปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น นำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้น ได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมี ฟิสิกส์ของสารเพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียง เมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป


ลักษณะของพืชสมุนไพร
"พืชสมุนไพร" โดยทั่วไปนั้น แบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำคัญด้วยกัน คือ
1. ราก
2. ลำต้น
3. ใบ
4. ดอก
5. ผล

"พืชสมุนไพร" เหล่านี้มีลักษณะลำต้น ยอด ใบ ดอก ที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่ส่วนต่างๆ ก็ทำหน้าที่เช่นเดียวกัน เช่นรากก็ทำหน้าที่ดูดอาหาร มาเลี้ยงลำต้นกิ่งก้านต่างๆและใบกับส่วนต่างๆนั่นเองใบก็ทำหน้าที่ปรุงอาหารดูดออกซิเจน คายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ดอก ผล เมล็ด ก็ทำหน้าที่สืบพันธุ์กันต่อไป เพื่อทำให้พืชพันธุ์นี้แพร่กระจายออกไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนต่างๆของพืชที่ใช้เป็นพืชสมุนไพร
1. ราก รากของพืชมีมากมายหลายชนิดเอามาเป็นยาสมุนไพรได้อย่างดี เช่นกระชายขมิ้นชัน ขิง ข่า เร่ว ขมิ้นอ้อย เป็นต้น รูปร่างและลักษณะของราก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.1 รากแก้ว ต้นพืชมากมายหลายชนิดมีรากแก้วอยู่นับ ว่าเป็นรากที่สำคัญมากงอกออกจาลำต้นส่วนปลายรูปร่างยาวใหญ่ เป็นรูปกรวยด้านข้างของรากแก้วจะแตกแยกออกเป็นรากเล็กรากน้อยและ รากฝอยออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อทำการดูดซึมอาหารในดินไปบำรุงเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นพืชที่มีรากแก้วได้แก่ ต้นขี้เหล็ก ต้นคูน เป็นต้น
1.2 รากฝอย รากฝอยเป็นส่วนที่งอกมาจากลำต้นของพืชที่ส่วนปลายงอกออกมาเป็น
รากฝอยจำนวนมากลักษณะรากจะกลมยาวมีขนาดเท่าๆกันต้นพืชที่มีใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีรากฝอย เช่น หญ้าคา ตะไคร้ เป็นต้น
2. ลำต้น นับว่าเป็นโครงสร้างที่สำคัญของต้นพืชทั้งหงายที่มีอยู่สามารถค้ำยันเอาไว้ได้ไม่ให้โค่นล้มลงโดยปกติแล้วลำต้นจะอยู่ บนดินแต่บางส่วนจะอยู่ใต้ดินพอสมควร รูปร่างของลำต้นนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ตา ข้อ ปล้อง บริเวณเหล่านี้จะมีกิ่งก้าน ใบดอกเกิดขึ้นอีกด้วยซึ่งจะทำให้พืช มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปชนิดของลำต้นพืช แบ่งตามลักษณะภายนอกของลำต้นได้เป็น
1. ประเภทไม้ยืนต้น
2. ประเภทไม้พุ่ม
3. ประเภทหญ้า
4. ประเภทไม้เลื้อย
3. ใบ ใบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของต้นพืชทั่วไป มีหน้าที่ทำการสังเคราะห์แสง ผลิตอาหารและ เป็นส่วนที่แลกเปลี่ยนน้ำ และอากาศให้ต้นพืชใบเกิดจากการงอกของกิ่งและตาใบไม้โดยทั่วไปจะมีสีเขียว (สีเขียวเกิดจากสารที่มีชื่อว่า"คอลโรฟิลล์"อยู่ในใบของพืช)ใบของพืชหลายชนิดใช้เป็นยาสมุนไพรได้ดีมาก รูปร่างและลักษณะของใบนั้น
ใบที่สมบูรณ์มีส่วนประกอบรวม 3 ส่วนด้วยกันคือ
1. ตัวใบ
2. ก้านใบ
3. หูใบ
ชนิดของใบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดใบเลี้ยงเดี่ยว หมายถึงก้านใบอันหนึ่ง มีเพียงใบเดียว เช่น กานพลู ขลู่ ยอ กระวาน
2. ชนิดใบประกอบ หมายถึงตั้งแต่ 2 ใบขึ้นไปที่เกิดขึ้นก้านใบอันเดียว มีมะขามแขก แคบ้าน ขี้เหล็ก มะขาม เป็นต้น
4. ดอก ส่วนจองดอกเป็นส่วนที่สำคัญของพืชเพื่อเป็นการแพร่พันธุ์ของพืชเป็นลักษณะเด่นพิเศษของต้นไม้แต่ละชนิด ส่วนประกอบของดอกมีความแตกต่างกันตามชนิดของพันธุ์ไม้และลักษณะที่แตกต่างกันนี้เป็นข้อมูลสำคัญในการจำแนกประเภทของ ต้นไม้รูปร่างลักษณะของดอก
ดอกจะต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญ 5 ส่วนคือ
1. ก้านดอก
2. กลีบรอง
3. กลีบดอก
4. เกสรตัวผู้
5. เกสรตัวเมีย
5. ผล ผลคือส่วนหนึ่งของพืชที่เกิดจากการผสมเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียในดอกเดียวกันหรือคนละดอกก็ได้ มีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทและสายพันธุ์รูปร่างลักษณะของผลมีหลายอย่าง ตามชนิดของต้นไม้ที่แตกต่างกัน แบ่งตามลักษณะของการเกิดได้รวม 3 แบบ
1. ผลเดี่ยว หมายถึง ผลที่เกิดจากรังไข่อันเดียวกัน
2. ผลกลุ่ม หมายถึง ผลที่เกิดจากปลายช่อของรังไข่ในดอกเดียวกัน เช่น น้อยหน่า
3. ผลรวม หมายถึง ผลที่เกิดมาจากดอกหลายดอก เช่น สับปะรด
การแบ่งผลออกเป็น 3 ลักษณะคือ
1. ผลเนื้อ
2. ผลแห้งชนิดแตก
3. ผลแห้งชนิดไม่แตก

สมุนไพร วิธีการเก็บส่วนที่ใช้เป็นยา

"พืชสมุนไพร" มีมากมาย บางทีก็อาจจะเอาเปลือกของลำต้นมาใช้ประโยชน์ในการทำเป็นยา หรือบางชนิดก็เอาดอกมาทำเป็นยา แต่บางอย่างอาจจะต้องใช้ใบก็ได้ หรืออาจจะเอาส่วนของรากมาทำเป็นยาก็มี ด้วยเหตุนี้เองการเลือกส่วนที่จะเอามาใช้ประโยชน์จึงมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน
จะเก็บอย่างไรจึงจะถูกวิธีหรือทำให้คุณค่าทางยามากที่สุดไม่เสียหาย
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งเห็นจะได้แก่ "ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บ "พืชสมุนไพรเอามาเป็นยา" นั้นเอง
การเก็บส่วนของพืชสมุนไพรเอามาทำเป็นยานั้น ถ้าเก็บในระยะเวลาที่ไม่เหมาะก็มีผลต่อการออกฤทธิ์ในการรักษาโรคของสมุนไพรได้ นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องช่วงเวลาในการเก็บยาเป็นสำคัญแล้ว ยังจะต้องคำนึงถึงว่าการเก็บยานั้นถูกต้องหรือไม่ ส่วนไหนของพืชใช้เป็นยา ดินที่ปลูกพืชสมุนไพร อากาศ เป็นอย่างไร
การเลือกเก็บส่วนที่เป็นยาอย่างถูกวิธีการนั้น จะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของยาที่จะนำมารักษาโรค หากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ปริมาณตัวยาที่มีอยู่ในสมุนไพรนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้ยาที่ได้มานั้นไม่เกิดผลดีในการบำบัดรักษาโรคได้เท่าที่ควร
หลักการโดยทั่วไปในการเก็บส่วนของพืชสมุนไพร แบ่งออกได้ดังนี้
ประเภทเก็บรากหรือหัว
สมควรเก็บในช่วงเวลาที่พืชหยุดการเจริญเติบโต ใบ ดอก ร่วงหมดแล้ว หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เพราะเหตุว่าในช่วงเวลานี้รากและหัวมีการสะสมปริมาณตัวยาเอาไว้ค่อนข้างสูง วิธีการเก็บก็จะต้องใช้วิธีขุดด้วยความระมัดระวังให้มาก อย่าให้รากหรือหัวเกิดการเสียหาย แตกช้ำ หักขาดขึ้นได้ รากหรือหัวของพืชสมุนไพรก็มี ข่า กรชาย กระทือ ขิง เป็นต้น
ประเภทใบหรือเก็บทั้งต้น
ควรจะเก็บใบที่เจริญเติบโตมากที่สุด หรือพืชบางอย่างอาจระบุช่วงเวลาเก็บอย่างชัดเจน เก็บใบอ่อนหรือไม่แก่เกินไป เก็บช่วงดอกหรือบาน หรือช่วงเวลาที่ดอกบาน เป็นต้น การกำหนดช่วงเวลาที่เก็บใบ เพราะช่วงเวลานั้นในใบมีตัวยามากที่สุด วิธีการเก็บก็ใช้วิธีเด็ด ตัวอย่างเช่น ใบกระเพรา ใบฝรั่ง ใบฟ้าทะลาย เป็นต้น
ประเภทเปลือกต้นหรือเปลือกราก
เปลือกต้นโดยมากเก็บช่วงฤดูร้อนต่อกับช่วงฤดูฝน ปริมาณยาในพืชสมุนไพรมีสูง และลอกออกได้ง่าย สะดวก
ในการลอกเปลือกต้นนั้น อย่าลอกเปลือกออกทั้งรอบต้น เพราจะกระทบกระเทือนในการส่งลำเลียงอาหารของพืช จะทำให้ตายได้ ทางที่ดีควรลอกเปลือกกิ่งหรือส่วนที่เป็นแขนงย่อย ไม่ควรลอกออกจากล้าต้นใหญ่ของต้นไม้ หรือจะใช้วิธีลอกออกในลักษณะครึ่งวงกลมก็ได้
ส่วนเปลือกราก เก็บในช่วงฤดูฝนเหมาะมากที่สุด เนื่องจากการลอกเปลือกรากเป็นผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช
ประเภทดอก
โดยทั่วไปเก็บในช่วงดอกเริ่มบาน แต่บางชนิดเก็บในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เป็นต้น
ระเภทผลและเมล็ด
พืชสมุนไพรบางอย่าง อาจจะเก็บในช่วงที่ผลยังไม่สมบูรณ์หรือยังไม่สุกก็มี เช่น ฝรั่งเก็บเอาผลอ่อนมาเป็นยาแก้ท้องร่วง แต่โดยทั่วไปมักเก็บเมื่อผลแก่เต็มที่แล้ว ตัวอย่างเช่น มะแว้ต้น มะแว้งเครือ ดีปลี เมล็ดฟักทอง เมล็ดชมเห็ดไทย เมล็ดสะแก เป็นต้น
คุณภาพของสมุนไพรที่จะใช้รักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น สำคัญอยู่ที่ช่วงเวลาการเก็บสมุนไพรและวิธีการเก็บ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะต้องคำนึงถึงอีกอย่างก็คือ พื้นดินที่ปลูกพืชสมุนไพร เช่น ลำโพง ควรปลูกในพื้นดินที่เป็นด่าง จะมีปริมาณตัวยาสูง สะระแหน่ หากปลูกในที่ดินทราย ปริมาณน้ำมันหอมระเหยสูง และยังมีปัญหาทางด้านสภาพสิ่งแวดล้อมในการเจริญเติบโต และภูมิอากาศเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต่างก็มีผลต่อพืชสมุนไพรด้วยกันทั้งสิ้น จึงควรพิจารณาให้ดีในเรื่องนี้ด้วย
เก็บพืชสมุนไพรให้ถูกต้อง เหมาะสม ในช่วงเวลาที่สมควรเก็บ เก็บแล้วจะได้พืชสมุนไพรที่มีปริมาณของตัวยาสูง มีคุณค่า มีสรรพคุณทางยาดีมาก ดีกว่าเก็บในช่วงที่ไม่เหมาะสม

กินแบบนักโภชนาการ





























กินแบบนักโภชนาการ 1
กินอะไรก็ได้ที่ตนเองชอบ และเห็นว่าอร่อยถูกปาก กินตามที่แม่ทำให้กินกินตามที่วางขายที่หาซื้อได้ ไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องการกิน กินอิ่มแล้วก็จบเป็นสุข แล้วก็ไปปฏิบัติภารกิจอื่นต่อ ถึงเวลาอาหารมื้อต่อไปก็กลับมากินอีก จนครบอย่างน้อย 3 มื้อ ในแต่ละวัน เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งได้มาเริ่มเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ และประกอบอาชีพเป็นนักโภชนาการ ทำให้เริ่มสนใจใส่ใจ และยึดมั่นที่จะต้องกินอาหารให้ถูกต้องตามสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาก และจะต้องปฏิบัติตนและกินให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นที่ตัวเองเที่ยวไปบอกไปสอนให้เขาปฏิบัติ คิดอยู่เสมอมาว่า หากต้องการให้คนอื่นกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เราจะต้องปฏิบัติให้ได้ก่อนจุดเริ่มต้นของการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ของนักโภชนาการทุกคนมักจะยึดการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารทุกมื้อที่กินจะคอยคำนึงทุกครั้งว่า กินครบ 5 หมู่ หรือไม่ ถ้าไม่ครบก็ต้องขวนขวายกินให้ครบในมื้อถัดไป สิ่งที่จะต้องคำนึงในลำดับต่อมาคือ ปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อ จะต้องคอยควบคุมตนเองให้กินอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ พอดี อิ่มแล้วจะหยุดกินจะไม่เพลินกับรสชาติของอาหาร และกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ทุกวัน ไม่เคยงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งนอกจากนี้ ยังไม่ยึดติดอยู่ในอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งที่จะต้องชอบเป็นพิเศษแล้วกินประจำซ้ำซาก แต่พยายามกินอาหารให้หลากหลายชนิด ยกเว้นอาหารหลักเช่นข้าว และที่สำคัญ คือ จะหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการมีสุขภาพที่ไม่ดี อาทิ อาหารรสหวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ปนเปื้อนจากเชื้อโรค และสารพิษ รวมทั้งอาหารที่บั่นทอนสุขภาพอื่น ๆ และอาหารที่มีราคาแพง อานิสงส์แห่งการกินอาหารตามแบบฉบับของนักโภชนาการที่กล่าวมานี้ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ส่งผลให้ตนเองมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง โดยวัดจากมีการเจ็บป่วยน้อยมาก และหวังต่อไปถึงอนาคตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุที่ดำรงชีวิตอย่างสง่างาม ไม่เป็นภาระของลูกหลานและ
มีชีวิตที่ยืนยาวพอสมควร
กินแบบนักโภชนาการ 2

ความได้เปรียบของนักโภชนาการในเรื่องการกินอาหารอยู่ตรงที่ มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักเห็นความสำคัญของอาหารที่มีต่อชีวิต และร่างกาย จึงได้นำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับวิถีการกินอาหารจนกลับกลายเป็นนิสัยนักโภชนาการส่วนมาก มักพิถีพิถัน พินิจพิจารณาอาหารแต่ละครั้ง แต่ละคำที่กินว่าจะไปประเทืองประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเขาหรือไม่ อย่างไร เขารู้ว่าจะต้องกิน ข้าวเป็นอาหารหลัก เพราะร่างกายต้องการนำไปสร้างพลังงานให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ นักโภชนาการจะเป็นกลุ่มคนที่รักการกินพืชผัก และผลไม้ เพราะรู้ดีว่าผักและผลไม้ไม่เพียงแต่จะให้วิตามินแร่ธาตุไปช่วยทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติเท่านั้น แต่นักโภชนาการกินผักผลไม้เป็นประจำ เพราะทราบดีว่า ในผักผลไม้ยังประกอบด้วยสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่สารอหาร แต่มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เกิดโรคและความเจ็บป่วยได้ด้วย อย่างเช่น ใยอาหาร ในที่สุดชีวิตของนักโภชนาการจะขาดผัก และผลไม้ไม่ได้นักโภชนาการ จะกินอาหารที่ให้โปรตีนหลากหลายชนิด แต่จะเน้นการกินปลาเป็นหลักรองลงมาเป็นเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ติดมัน ตามมาด้วยไข่ นักโภชนาการทั่วไปไม่กลัวโคเลสเตอรอลในไข่จนเกินเหตุ แต่จะกินไข่ตามสภาวะร่างกายของแต่ละคนโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 ? 4 ฟอง ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ คือแหล่งโปรตีนจากพืชที่นักโภชนาการมักจะกินสลับไปกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ แม่ว่ารสชาติอร่อยไม่เท่าเนื้อสัตว์ แต่กินเพราะรู้ว่ามีคุณค่าเท่าเทียมเนื้อสัตว์และราคาถูกกว่าผู้เขียนในฐานะเป็นนักโภชนาการ ต้องขอยอมรับสารภาพว่า ทุกครั้งที่ดื่มนม ซึ่งดื่มวันละ 1 ? 2 แก้ว ทุกวัน ไม่ได้ดื่มเพราะความหิว ความพร่อยในรสชาติของนม แต่ดื่มนมเพราะตระหนักดีว่า นมคือแหล่งของแคลเซียมที่ดีที่ร่างกายสามารถร่อยและดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ต่อกระดูกอาหารประเภทที่มีไขมันสูง มีรสเค็มจัด หวานจัด นักโภชนาการจะหลีกเลียงกินให้น้อยที่สุด แม้ว่าจะชอบกินก็ตาม เพราะรู้ว่ากินมากแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ